คลาวด์คอมพิวติ้งแบบไหนที่เหมาะกับองค์กรของเรา? Local Cloud, Regional Cloud และ Global Cloud แตกต่างกันอย่างไร? แบบไหนถึงจะเหมาะสมกับเรา


ทำความรู้จักกับผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งแต่ประเภท
สำหรับผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง (ในบทความนี้คือผู้ให้บริการคลาวด์สาธารณะหรือ Public Cloud) สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
  1. ผู้ให้บริการคลาวด์ภายในประเทศ (หรือเรียกว่า Local Cloud Provider) คือ ผู้ให้บริการคลาวด์ที่เป็นบริษัทในประเทศไทย โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรในประเทศไทยเป็นหลัก เช่น บริการ Virtual Service ของเคเอสซี บริการ SiS Cloud Service จากทาง SiS รวมไปถึงผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นๆ ซึ่งมีทั้งผู้ให้บริการที่ต่อยอดจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการที่ต่อยอดจากการให้บริการเว็บโฮสติ้ง (Webhosting Provider) รวมไปถึงผู้ให้บริการคลาวด์ใหม่โดยเฉพาะ

    Cloud_Local&Global_001.png

    Cloud_Local&Global_002.png

  2. ผู้ให้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ โดยเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการให้บริการทั้งโลก (หรือเรียกว่า Global Cloud Provider) โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กร และการใช้งานลูกค้าบุคคลธรรมดา ขึ้นอยู่กับชนิดของการให้บริการ การให้บริการคลาวด์แบบ IaaS หรือ PaaS จะมีบริการ เช่น บริการ Amazon Web Services (หรือ AWS) จากทาง Amazon บริการ Microsoft Azure จาการทาง Microsoft บริการ Google Cloud Platform จากทาง Google รวมไปถึงการให้บริการ SaaS เช่น บริการ Microsoft 365 จากทาง Microsoft บริการ Google Workspace จากทาง Google บริการ Salesforce เป็นต้น

    Cloud_Local&Global_003.png

    Cloud_Local&Global_004.png

    Cloud_Local&Global_005.png

  3. ผู้ให้บริการคลาวด์จากต่างประเทศ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะภูมิภาคบางส่วน (หรือเรียกว่า Regional Cloud Provider) ซึ่งเป็นบริการที่คล้ายคลึงกับ Global Cloud Provider แต่เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะเจาะจงเป็นรายภูมิภาค ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้ให้บริการคลาวด์จากประเทศจีนเป็นหลัก เช่น บริการ Alibaba Cloud จากทาง Alibaba บริการ Tencent Cloud จากทาง Tencent บริการ Huawei Cloud จากทาง Huawei เป็นต้น

    Cloud_Local&Global_006.png

    Cloud_Local&Global_007.png

 
 

เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งแต่ละประเภท
เนื่องจากมีผู้ให้บริการคลาวด์หลากหลาย เราสามารถสรุปข้อแตกต่างของผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละประเภทคร่าวๆ ได้ดังนี้
ประเภทของผู้ให้บริการคลาวด์ ข้อดี ข้อเสีย
Local Cloud Provider • ให้บริการโดยคนไทย การสนับสนุน (Support) เป็นภาษาไทย รวมไปถึงบริการเสริมด้านการบริหารจัดการระบบ (Managed Service) อีกด้วย
• ครอบคลุมกฎหมายภายในประเทศไทย
• ชำระค่าบริการเป็นรายเดือน ส่วนมากค่าบริการเท่ากันทุกเดือน
• ในกรณีที่ผู้ใช้งาน (End-user) ของระบบเป็นคนไทย การเชื่อมต่อรวดเร็วกว่าผู้ให้บริการประเภทอื่น (Low latency) เนื่องจากมีศูนย์ข้อมูลในประเทศไทย และเชื่อมต่อผ่านทางอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ
• ฟีเจอร์การใช้งานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการประเภทอื่น
• โดยส่วนมากแล้ว ราคาจะสูงกว่าผู้ให้บริการประเภทอื่น เนื่องจากต้องมีค่าเช่าใช้ซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ ทำให้มีต้นทุนสูงกว่า
Global Cloud Provider • มีฟีเจอร์มากที่สุด และอัปเดทบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์เอง รวมไปถึงรองรับระบบ AI ที่เริ่มมีการให้บริการแล้ว
• รองรับการทำงานที่หลากหลาย ซับซ้อนได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการรองรับการใช้งานที่ไม่คงที่ สามารถปรับลดได้อย่างอิสระ สามารถดำเนินการได้เอง (Self Service)
• ส่วนมากแล้ว ราคาจะต่ำกว่า Local Cloud Provider แต่อาจจะสูงกว่า Regional Cloud Provider ในบางบริการ เนื่องจากเป็นการให้บริการทั้งโลก เกิดการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) จึงสามารถทำต้นทุนที่ถูกได้ บางรายเป็นผู้พัฒนาระบบปฎิบัติการอยู่แล้ว บางรายมีโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาและทดสอบเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการใช้งานภายในมาก่อน เป็นต้น
• สามารถหาข้อมูลการพัฒนา รวมไปถึงตัวอย่างการคอนฟิกได้ง่าย เนื่องจากนิยมใช้งานกันทั้งโลก
• ค่าใช้จ่ายเป็นแบบใช้ตามจริง (Pay per use) ซึ่งไม่เท่ากันทุกเดือน หากมีการใช้งาน IaaS จะมีการคิดค่าบริการแบนด์วิทธ์ตามการใช้งานจริงด้วย และค่าใช้จ่ายเป็น US dollar ซึ่งมีผลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในบางครั้งจะมีปัญหาในการชำระค่าบริการในรูปแบบองค์กร
• มีความล่าช้าในการเชื่อมต่อบ้าง เนื่องจากศูนย์ข้อมูลที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งในตอนนี้ผู้ให้บริการบางรายมีการตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยแล้วบางส่วน แต่การให้บริการยังไม่ครบทุกฟีเจอร์
• การให้บริการส่วนมากเป็นการเปิด Ticket ในระบบเป็นหลัก ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ ในบางครั้งหากไม่คุ้นเคยก็มักจะมีปัญหาในการ Support ได้
• อาจจะมีข้อกังวลเรื่องข้อมูลอยู่ภายนอกประเทศซึ่งอาจจะขัดกับข้อกำหนดบางส่วน
Regional Cloud Provider • มีฟีเจอร์ที่น้อยกว่า Global Cloud Provider เล็กน้อยแต่มากกว่า Local Cloud Provider
• ราคาโดยมากมักจะถูกกว่า Local Cloud Provider ซึ่งในบางรายสามารถทำราคาได้ดี เพราะเป็นผู้ผลิตฮาร์ดแวร์เอง หรือในบางครั้งก็มีการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ภายในเอง ทำให้ลดต้นทุนในภาพรวมลงไป
• มีการเชื่อมต่อที่รวดเร็วใกล้เคียงกับ Local Cloud Provider เพราะผู้ให้บริการบางรายมีการตั้งศูนย์ข้อมูลภายในประเทศไทยแล้ว
• ค่าบริการส่วนมากเป็นแบบ Pay per use แบบเดียวกับ Global Cloud Provider ทำให้ค่าบริการรายเดือนไม่คงที่ และมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งโดยส่วนมากคิดราคาอ้างอิงจาก US Dollar
• การให้บริการเป็นการเปิด Ticket เป็นหลัก สำหรับผู้ให้บริการบางรายรองรับภาษาไทย แต่หากเป็นปัญหาเชิงเทคนิคอาจจะต้องรอต่างประเทศ
สำหรับตารางเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียดังกล่าวเป็นการเขียนบทความในช่วงต้นปี พ.ศ. 2568 ซึ่งในผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละประเภทก็มีแผนการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการตั้งศูนย์ข้อมูลในประเทศไทยเพื่อเพิ่มความเร็วในการใช้งานให้ดีขึ้น (ลด Latency) รวมไปถึงการทำตลาด การจัดอบรมสัมมนา การเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้เข้าถึงผู้ดูแลระบบเข้าใจถึงประโยชน์ รวมไปถึงรูปแบบการใช้งาน (Use case) ที่เกิดขึ้น

แล้วคลาวด์คอมพิวติ้งแบบไหนที่เหมาะสมกับรูปแบบการใช้งานขององค์กรของเรา
เนื่องจากรูปแบบการใช้งานคลาวด์ของผู้ให้บริการแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างกัน ผมเองมีแนวทางการพิจารณาใช้งานคลาวด์แต่ละประเภทโดยกำหนดเป็นหัวข้อที่พิจารณาดังนี้

  1. ความรู้ ความเข้าใจ ของผู้ดูแลระบบขององค์กร หากผู้ดูแลระบบยังไม่คุ้นเคยกับการใช้งานคลาวด์ แนะนำให้เริ่มจากการใช้งาน Local Cloud Provider ก่อน เพราะมีผู้ให้คำปรึกษาและบริการหลังการขายที่สะดวก ฟีเจอร์ไม่ซับซ้อน รวมไปถึงยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย แต่ถ้าผู้ดูแลระบบเริ่มมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบคลาวด์มากขึ้นที่มากขึ้น และมีสามารถบริหารจัดการทรัพยากรบนระบบคลาวด์ได้เป็นอย่างดี ก็ค่อยเพิจารณาเลือกใช้ Global Cloud Provider หรือ Regional Cloud Provider ในภายหลังได้ เพราะการใช้งานคลาวด์เป็นการเช่าใช้บริการซึ่งเราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตลอด

  2. ลักษณะของงานที่ใช้งานระบบคลาวด์ หากมีทีมพัฒนาเองที่พัฒนาแบบ Cloud-Native Application ได้ (ในบางครั้งอาจจะเรียก DevOps) ก็แนะนำให้ใช้งาน Global Cloud Provider หรือ Regional Cloud Provider แทน เพราะจะมีเครื่องมือที่ครบเครื่องมากกว่า ซึ่งโดยส่วนมากมักจะไปใช้งานที่ Global Cloud Provider เป็นส่วนใหญ่ โดยจุดเด่นของ Cloud-Native Application คือสามารถรองรับการใช้งานขนาดใหญ่ ระบบมีความยืดหยุ่น สามารถขยายขนาดการทำงานได้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้าระบบยังไม่ซับซ้อนขนาดนั้น การพิจารณาใช้งาน Local Cloud Provider รวมไปถึงการใช้งานรับฝากเครื่อง (Colocation) ในกรณีที่มีฮาร์ดแวร์เองอยู่แล้วก็เป็นทางเลือกในการพิจารณา

  3. การบริการหลังการขาย ในบ่อยครั้งที่มักจะพบปัญหาในการเปิดเคสช่วยเหลือ (หรือที่มักเรียกกันว่า Support Ticket) ซึ่งโดยมากจะเป็นภาษาอังกฤษ และต้องเปิดผ่านระบบ ซึ่งผู้ดูแลระบบส่วนมากมักจะติดปัญหาด้านภาษาในการสื่อสาร ในบางครั้งอาจจะไม่คุ้นเคยกับระบบแบบนี้

  4. ข้อกำหนด หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการใช้งานคลาวด์ โดยเฉพาะการเก็บข้อมูลนอกประเทศ ซึ่งในส่วนนี้ยังมีข้อถกเถียงกันว่าสามารถนำข้อมูลไปเก็บได้หรือไม่ โดยเฉพาะข้อมูลที่มีความสำคัญมาก ซึ่งอาจจะรวมไปถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานและลูกค้าที่มีการกำหนดเอาไว้ใน พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

เนื่องจากระบบคลาวด์เป็นการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ (Shared Responsibility Model) ซึ่งผู้ดูแลระบบจะต้องเข้าใจว่าส่วนใดเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ให้บริการ (Cloud Service Provider) หรือผู้ใช้บริการ (Cloud Service Consumer) ซึ่งหากเกิดปัญหาจะเป็นการวิเคราะห์ว่าปัญหาเกิดขึ้นจากความรับผิดชอบของใคร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันนั่นเอง

ข้อแนะนำในการเลือกใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง
สำหรับการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งนั้น เป็นการใช้งาน “บริการ” เป็นหลัก ซึ่งเราจะรู้ว่าบริการดังกล่าวเหมาะกับเราหรือไม่ ผมแนะนำให้ลองปรึกษาผู้ให้บริการ รวมไปถึงการทดลองใช้งานว่าเหมาะสมกับองค์กรของเราหรือไม่ โดยสามารถแยกออกเป็นกลุ่มได้ดังนี้
  1. การใช้งานระบบ SaaS (Software as a Service) เช่น ระบบอีเมล ระบบประชุมออนไลน์ ระบบบริหารจัดการลูกค้าหรือ CRM ส่วนมากมักไม่พบปัญหา และเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เข่น Microsoft 365, Zooms, Adobe หรือแม้กระทั่ง Saleforce.com เป็นต้น

  2. การใช้งานระบบ IaaS (Infrastructure as a Service) หรือระบบ PaaS (Platform as a Service) นั้น แนะนำให้ปรึกษาผู้ให้บริการแต่ละเจ้า รวมไปถึงทดลองใช้งานจริงว่าตอบโจทย์หรือไม่ โดยการเลือกผู้ให้บริการที่มีความน่าเชื่อถือก็เป็นส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน ISO/IEC 27001 ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของข้อมูล มาตรฐาน ISO/IEC 20000-1 ที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ มาตรฐาน CSA-STAR ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เพราะการใช้งานคลาวด์ก็เหมือนกับเราฝากข้อมูลกับผู้ให้บริการ ซึ่งผู้ให้บริการดังกล่าวก็ต้องมีความน่าเชื่อถือเป็นสำคัญ หากเกิดปัญหาแล้วก็ต้องสามารถติดต่อและแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

    Cloud_Local&Global_008.png
อ้างอิง: