Wi-Fi แบบไหนถึงจะเหมาะกับองค์กรของเรา?

การเลือกใช้ Wi-Fi ให้เหมาะสมกับองค์กรเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก บางคนก็บอกว่าให้เลือกเวอร์ชันใหม่สุดย่อมจะดีที่สุด บางคนก็บอกว่าให้เลือกที่สัญญาณแรงถึงจะดีที่สุด ซึ่งในตอนนี้ (ต้นปี 2024) จะพบว่ามีมาตรฐาน Wi-Fi ให้เลือกทั้ง Wi-Fi 6, 6E รวมไปถึง 7 แล้วเราจะเลือกอันไหนถึงจะเหมาะสมกับองค์กรของเรา เรามาร่วมหาคำตอบไปด้วยกัน...
  
มาตรฐาน Wi-Fi ใดถึงจะเหมาะสม
คำถามนี้เป็นคำถามที่เจอบ่อยที่สุด ใหม่สุดอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดก็ได้เพราะ Wi-Fi จะใช้งานได้สมบูรณ์ต้องประกอบไปด้วย 4 ส่วนคือ
  1. สวิตช์ (Switch)
  2. สายแลน
  3. Access Point
  4. เครืองไคลเอนต์
โดยในปัจจุบันได้เริ่มมีมาตรฐาน Wi-Fi 7 ออกมาในท้องตลาด คำถามที่น่าสนใจคือเหมาะสมที่ใช้งานแล้วหรือยัง ผมได้หาข้อมูลเปรียบเทียบมาตรฐานมาให้ตามตารางด้านล่าง

Wi-Fi Generation IEEE standard Adopted (Year) Maximum link rate (Mbit/s) Radio frequency (GHz) Apple iPhone Model Samsung Galaxy S series
Wi-Fi 8 802.11bn 2028 100,000 2.4, 5, 6, mmWave N/A (Roadmap)
Wi-Fi 7 802.11be 2024 1376–46,120 2.4, 5, 6 N/A Galaxy S24
Wi-Fi 6E 802.11ax 2020 574–9608 6 iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max Galaxy S21 Ultra, Galaxy S22 Plus, Galaxy S22 Ultra, Galaxy S23
Wi-Fi 6 2019 2.4, 5 iPhone 11 - iPhone 15 Plus, iPhone SE2 - SE3 Galaxy S10 - Galaxy S21, Galaxy S22
Wi-Fi 5 802.11ac 2014 433–6933 5 iPhone 6 - iPhone XS Max Galaxy S4 - Galaxy S9
Wi-Fi 4 802.11n 2008 72–600 2.4, 5 iPhone 4 - iPhone 5s Galaxy S - Galaxy S3
Wi-Fi 3 802.11g 2003 6–54 2.4 iPhone - iPhone 3GS
Wi-Fi 2 802.11a 1999 5
Wi-Fi 1 802.11b 1999 1–11 2.4
Wi-Fi 0 802.11 1997 1–2 2.4

จากตารางจะเห็นได้ว่า มาตรฐาน Wi-Fi 7 ยังถือว่าใหม่มากในปัจจุบัน (ปี 2024) ซึ่งมีอุปกรณ์รองรับเพียงไม่กี่รุ่น ในขณะที่ Wi-Fi 6E ก็มีอุปกรณ์รองรับไม่มากและยังมีเรื่องของความถี่ที่ใช้งานที่ 6 GHz ซึ่งทาง กสทช. เองก็ได้มีการอนุญาตให้ใช้งานได้เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ในขณะที่หลายประเทศจะยังไม่อนุญาตคลื่น 6 GHz เลย ดังนั้นในตอนนี้ (ต้นปี 2024) จึงแนะนำให้ใช้งาน Wi-Fi 6 เป็นมาตรฐานหลัก ส่วนในอนาคตอีกสัก 1 – 2 ปี อาจจะลงทุนอุปกรณ์ Access Point เป็นบางจุดให้รองรับ Wi-Fi 7 ก็ยังถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

เช็คสายแลนที่จะใช้งาน Wi-Fi 6 ด้วย เปลี่ยน Access Point แต่ไม่เปลี่ยนสายแลนก็ไม่มีประโยชน์
หลายคนคิดว่าการเปลี่ยน Access Point เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะไม่ถูกต้องนัก หากลองดู Network Diagram ในการเชื่อมต่อตามรูปด้านล่างจะเห็นได้ว่า Access Point ทำหน้าที่เหมือนอุปกรณ์สวิตช์ดีๆ นี่เอง แถมยังต้องรองรับอุปกรณ์ที่มาต่อเชื่อมจำนวนมาก ซึ่ง Access Point สำหรับองค์กรก็จะมีฟีเจอร์ในการสร้างได้หลาย SSID เพื่อรองรับการเชื่อมต่อสำหรับภายใน (Internal Wi-Fi) และสำหรับแขก (Guest Wi-Fi) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วก็จะกำหนดให้แต่ละ SSID เชื่อมต่อไปยังแต่ละ VLAN ที่สวิตช์อีกทีหนึ่งตามรูปด้านล่าง

 WiFi_001.png

อ้างอิงตามมาตรฐาน Wi-Fi จะเห็นได้ว่าสามารถรองรับแบนด์วิทธิ์ได้ตั้งแต่ 574 Mbps ถึง 9.6 Gbps เลยทีเดียว โดยในปัจจุบัน (ต้นปี 2024) จะเริ่มมีอุปกรณ์ออกสู่ท้องตลาดและในรุ่นกลางขึ้นไปจะรองรับการเชื่อมต่อได้มากกว่า 1 Gbps (เรียกว่า Multi-Gigablit) ซึ่งรองรับได้ทั้ง 2.5, 5 และ 10 Gbps โดยจะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเมื่อใช้งานสายแบบ Cat6a นั่นเอง โดยสามารถดูได้จากตารางเปรียบเทียบด้านล่าง

Parameter Cat6 Cat6a
Speed 10 Gbps over 33-55 meters (110-165 feet) of cable 10 Gbps over 100 meters (330 feet) of cable
Frequency Up to 250 MHz Up to 500 MHz
Maximum cable length 100 meters for slower network speeds (up to 1,000 Mbps) and higher network speeds over short distances. For Gigabit Ethernet, 55 meters max, with 33 meters in high crosstalk conditions. 100 meters across all systems and conditions for Gigabit Ethernet.
Cost Varies by length and manufacturer, with $0.40 - $0.60 per foot as an average; generally about 20% higher than Cat5e. Varies by length and manufacturer, with $0.55 - $0.85 per foot as an average; generally about 20-35% higher than Cat6.
Standard gauges in conductors 22-24 AWG wire 16-20 AWG wire

หรืออธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ หากเราเปลี่ยน Access Point ให้เป็น Wi-Fi 6 แล้ว ในจุดไหนที่มีการใช้งานสูงก็ควรจะเปลี่ยนสายแลนให้เป็นแบบ Cat6a ด้วย เสมือนกับเปลี่ยนรถยนต์ให้ดีขึ้นแล้ว ก็ต้องปรับปรุงถนน (สายแลน) ให้ดีขึ้นด้วยเพื่อให้ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง พร้อมทั้งสวิตช์ก็ต้องรองรับความเร็วดังกล่าว และจะให้ใช้งานได้ดีที่สุดสวิตช์ก็ควรรองรับการจ่ายไฟ (Power over Ethernet หรือ PoE) เพื่อจะได้เดินสานแลนเพียงเส้นเดียวนั่นเอง

เลือก Access Point ที่สัญญาณแรงจะดีกว่า
สำหรับคำพูดดังกล่าวอาจจะไม่จริงเสมอไป จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหากเราใช้งาน Access Point ที่สัญญาณแรงๆ เอามาวางใกล้ๆ กันกลับกลายเป็นปัญหาแทนเนื่องจากสัญญาณมากวนกันเอง (หรือเรียกแบบดูเท่ๆ ว่า “Wi-Fi Interference” นั่นเอง) อาจจะลองนึกภาพตาม หากเราติดตั้ง Wi-Fi ในออฟฟิสกลางเมืองที่มี Wi-Fi อยู่เต็มไปหมด นั่นแปลว่าสัญญาณรบกวนมีเต็มไปหมด และเราไม่สามารถไปปิดสัญญาณเหล่านั้นได้ด้วย ปัญหาแบบนี้เราจะจัดการได้อย่างไร คำตอบก็คือหากสามารถทดสอบ Access Point ก่อนได้ ก็จะช่วยพิจารณาได้ดีขึ้น ซึ่ง Access Point สำหรับองค์กรจะต้องมีฟีเจอร์เรื่องของการจัดการสัญญาณเป็นหัวใจสำคัญ ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ อาจจะเป็นส่วนเสริมเช่น ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ฟีเจอร์การล็อกอินแบบ Single Sign-On 
ตามความเห็นส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า Access Point หน้าที่หลักคือการเชื่อมต่อเครื่องไคลเอนต์เป็นหลัก สำหรับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยจะขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร ซึ่งในบางครั้งฟีเจอร์เหล่านั้นอาจจะใช้อุปกรณ์ Network Security เช่น ไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้ามาเสริมได้ โดยพื้นฐานแล้วก็ยังจำเป็นต้องมีการแบ่งโซนการจัดการ (เรียกแบบทางการว่า การทำ “Network Segmentation” นั่นเอง)

บทสรุป
การซื้ออุปกรณ์ Wi-Fi เมื่อซื้อแล้ว ควรจะใช้งานได้คุ้มค่าที่สุด สำหรับปัจจุบัน (ต้นปี 2024) แนะนำให้ใช้งาน Wi-Fi 6 ก็เพียงพอ แต่อาจจะพิจารณาเรื่องของสายแลนที่ต้องปรับปรุงให้เป็น Cat6a เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการใช้งาน Wi-Fi ซึ่งออฟฟิสปัจจุบันนิยมใช้งาน Wi-Fi ทดแทนการใช้สายแลนแล้ว เพราะความสะดวกและคล่องตัวมากกว่านั่นเอง

อ้างอิง: