บ่อยครั้งที่เรามักเจอในการเริ่มต้นใช้งานระบบใหม่ๆ คือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี เพราะระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ก็ทำงานได้ดีอยู่แล้ว การใช้งานระบบใหม่ก็อาจจะนำไปสู่ปัญหาใหม่ได้ เราจึงมักไม่แตะต้องกับระบบเดิมที่ทำงานได้ดีอยู่แล้ว แต่ในการใช้งานจริงโดยเฉพาะในระบบที่ใช้งานมานานเกิน 7 – 10 ปีขึ้นไป ก็มักจะเจอปัญหาเรื่องของ “End of Support” (EOS) หรือ “End of Life” (EOL) ที่ทางผู้ผลิตไม่สนับสนุนการทำงานแล้ว (ไม่ออกแพตช์ความปลอดภัย หากระบบมีช่องโหว่ก็จะไม่แก้ไขเนื่องจากหมดระยะสนับสนุนแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นระบบปฎิบัติการอย่างเช่น Microsoft Windows หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ค่าบำรุงรักษาแพงมาก บางครั้งค่าต่อ Maintenance Agreement (MA) ก็แพงกว่าการซื้อเครื่องใหม่ (ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า) เสียอีก สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เราต้องมีการเปลี่ยนระบบที่ใช้งานอยู่เดิมให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น และเมื่อเรามีการสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ก็มักจะโดนผู้บริหารหรือเจ้าของสอบถามว่า “ระบบดังกล่าวที่จะซื้อ สามารถใช้งานคลาวด์แทนได้หรือไม่?” นั่นจึงเป็นเหตุผลของการเขียนบทความนี้...
การย้ายขึ้นคลาวด์ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง?
จากประสบการณ์ของผมเอง แนะนำให้พิจารณาการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งจากซับซ้อน ความสำคัญของระบบ และค่าใช้จ่ายเป็นหลัก (อาจจะคำนวณเป็น Total Cost of Ownership หรือ TCO) ยกตัวอย่างลำดับที่มักจะใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งได้ดังนี้
- ระบบอีเมล โดยเป็นการใช้งานคลาวด์แบบ Software as a Service (SaaS) ซึ่งคิดค่าบริการตามจำนวนผู้ใช้งานเป็นหลัก หากองค์กรมีการมีการทำระบบอีเมลภายในเป็นของตนเอง การติดตั้งเครื่องเซิร์ฟเวอร์ การดูแลระบบอีเมล การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย (Email Security Gateway) ของระบบอีเมล เป็นต้นทุนและภาระที่สูงมาก ซึ่งบ่อยครั้งจะถูกแทนที่ด้วยระบบ Microsoft 365 หรือ Google Workspace ซึ่งเป็นระบบอีเมลที่ใช้งานบนคลาวด์คอมพิวติ้งแทน โดยคิดค่าใช้จ่ายเป็นรายบุคคล ซึ่งจากการประเมินค่าใช้จ่ายแล้วพบว่าการติตดั้งระบบอีเมลใหม่มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากกว่าการเช่าใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง ซี่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวต้องพิจารณาทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ รวมไปถึงค่าไฟฟ้า ระบบศูนย์ข้อมูล และค่าดูแลระบบ รวมไปถึงความรู้ความชำนาญ (Skill) อีกด้วย
- ระบบประชุมออนไลน์ มักจะเป็นเหตุผลเดียวกับข้อแรก แต่มักจะเป็น Microsoft Teams ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft 365 หรืออาจจะเป็น Zooms และ Google Meet ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก สำหรับค่าใช้จ่ายก็ใกล้เคียงกัน แต่โดยรวมแล้วถูกกว่าการทำระบบเอง
- ระบบสำรองข้อมูลขององค์กร หากองค์กรของเรามีเซิร์ฟเวอร์ภายในอยู่แล้ว การสำรองข้อมูลให้ปลอดภัยก็ควรจะสำรองข้อมูลในรูปแบบ 3-2-1 ซึ่งควรจะสำรองข้อมูลนอกสถานที่ โดยในปัจจุบันก็นิยมเลือกใช้งานเป็นระบบสำรองข้อมูลบนคลาวด์ (หรือที่เรามักเรียกกันว่า Backup as a Service หรือ BaaS)
- ระบบส่งภาษีให้สรรพากร ผ่านทางระบบ e-Tax ซึ่งเป็นข้อกำหนดของทางสรรพากรในการส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการเชื่อมต่อระหว่างระบบบัญชีภายในองค์กรกับระบบสรรพากรผ่านผู้ให้บริการที่เป็นคลาวด์
- ระบบภายในองค์กรที่ใช้งานอยู่เดิม ซึ่งระบบเหล่านี้อาจจะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายขึ้นใช้งาน ในบทความนี้ผมขออ้างอิงจากทางบริษัท Amazon ที่เรียกว่า “Cloud Adoption Framework” เพื่อเป็นแนวทางในการประยุกต์ใช้งาน (สำหรับ Cloud Adoption Framework สามารถค้นหาได้จาก Google ได้หลายที่ ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีแนวทางแนะนำเอาไว้ไม่แตกต่างกันครับ)
จากรูปด้านบน เป็นเหตุผลหลักที่องค์กรพิจารณาการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง สามารถพิจารณาได้เป็นข้อๆ ดังนี้
- การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) ในการลงทุนซื้ออุปกรณ์ด้านไอทีเนื่องจากระบบไอทีมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก การใช้งานคลาวด์สามารถขยายระบบตามต้องการ (Pay per use)
- การเพิ่มประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนทางธุรกิจ (Environment, Social and Governance หรือ ESG) ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน การลดการใช้งานพลังงานจากการใช้ฮาร์ดแวร์เก่าที่ไม่มีประสิทธิภาพด้านพลังงาน (ส่งผลต่อการแข่งขันทางธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทฯ ที่ต้องทำการค้ากับต่างประเทศ)
- การเพิ่มรายได้ (Grow revenue) โดยสามารถสร้างระบบใหม่ได้โดยมีความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นการใช้งานบนคลาว์คอมพิวติ้งแทน หากระบบใหม่ใช้งานได้ดีก็ค่อยพิจารณาว่าจะลงทุนทำระบบเองหรือจะใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งต่อไป
- การการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไอที (Increase operational efficiency) โดยการลดงานที่ไม่จำเป็นออกไป หรือเป็นการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างเรากับผู้ให้บริการคลาวด์ผ่านทาง Share Responsibility Model) นั่นเอง โดยเลือกโฟกัสกับงานที่เป็นหัวใจหลักของธุรกิจเพียงอย่างเดียว
เราจะมีแนวทางการย้ายขึ้นคลาวด์เป็นอย่างไร?
สำหรับแนวทางการย้ายระบบขึ้นคลาวด์นั้น ขออ้างอิงจากรูปแบบการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งของทาง Amazon จะแนะนำให้นำระบบทั้งหมดที่มีอยู่ในองค์กรมาเพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้ง โดยจะแบ่งออกได้เป็น 7 รูปแบบดังนี้

- Retire หรือ การยกเลิกการใช้งาน เนื่องจากเป็นระบบเก่าที่ไม่จำเป็นต้องดูแลแล้ว ซึ่งอาจจะเกิดในกรณีที่เราทำการสำรวจระบบทั้งหมดในองค์กรและอาจจะพบว่าระบบดังกล่าวเก่าเกินไป เกิดปัญหา “End of Life” หรือ “End of Support” เป็นต้น
- Retain หรือ การใช้งานระบบเดิมต่อไป เป็นระบบที่พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถย้ายไปใช้งานระบบคลาวด์ได้ โดยมักจะมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่างเช่น มีระเบียบข้อบังคับ ข้อกำหนดหรือกฎหมายที่ไม่สามารถย้ายไปใช้งานบนคลาวด์ได้ (จำเป็นต้องอยู่ภายในศูนย์ข้อมูลของตนเอง) เช่น ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือพนักงานต้องมีการปกป้องข้อมูลในมาตรฐานที่สูง ต้องเก็บข้อมูลเอาไว้ในประเทศ เป็นต้น หรือเป็นระบบที่มีความเสี่ยงสูง หากเกิดปัญหาจะกระทบต่อการดำเนินการทางธุรกิจ หรือ เป็นระบบเฉพาะทางเช่นระบบ Mainframe ที่ไม่สามารถย้ายไปใช้งานคลาวด์ได้ เป็นต้น
- Rehost หรือ การย้ายระบบที่มีอยู่เดิมขึ้นคลาวด์ โดยการย้ายในรูปแบบนี้จะเป็นการย้ายระบบเดิมที่มีอยู่ภายในขึ้นคลาวด์โดยเป็นการย้ายระบบเซิร์ฟเวอร์เดิม ไม่ว่าจะเป็น Physical Machine หรือ Virtual Machine (VM) ที่มีอยู่เดิมมาอยู่บนคลาวด์ ซึ่งเราเรียกกระบวนการนี้ว่า “Life and shift” หรือเป็นการประยุกต์ใช้งาน IaaS นั่นเอง ซึ่งรูปแบบการย้ายลักษณะดังกล่าวนั้นจะมีความเสี่ยงต่ำที่สุดในการใช้งานคลาวด์ ซึ่งจะเป็นการลดงานของไอทีลงในส่วนของการดูแลฮาร์ดแวร์ (ตามรูปแบบของการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการคลาวด์) ซึ่งโดยมากแล้วผู้ให้บริการคลาวด์มักจะมีเครื่องมือในการย้ายจากระบบเดิมที่ใช้งานอยู่มายังระบบใหม่ รวมไปถึงช่องทางในการส่งไฟล์ขนาดใหญ่ขึ้นคลาวด์
- Relocate หรือ การย้ายส่วนงานบางส่วนที่ใช้งานอยู่แล้วไปยังที่อื่น เช่น ในการใช้งานคลาวด์อยู่แล้วแต่มีการย้าย Region เดิมไปยังที่ใหม่ เป็นต้น ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งาน โดยรูปแบบนี้มักจะเกิดกับการใช้งานคลาวด์อยู่แล้ว และมีการปรับแต่งให้เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน
- Repurchase หรือ การซื้อระบบใหม่ทดแทนระบบเดิม ซึ่งเรียกรูปแบบนี้ว่า “drop and shop” เช่น การใช้ระบบอีเมล ระบบประชุมออนไลน์บน Microsoft 365, Google Workspace หรือ Zooms ทดแทนระบบเดิมที่ใช้งานอยู่ ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้งาน SaaS ทดแทนระบบเดิมที่เคยใช้งานอยูนั่นเอง
- Replatform หรือ การปรับเปลี่ยนระบบเดิมที่มีอยู่ในใช้งานคลาวด์ในบางส่วน ซึ่งเรียกรูปแบบนี้ว่า “lift and re-shape” หรือ “lift, tinker, and shift” เช่น การย้ายระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรที่มีการใช้งานฐานข้อมุลแบบ Microsoft SQL Server โดยเป็นการย้ายเครื่องเว็บเซิร์ฟเวอร์ขึ้นไปใช้งาน และเปลี่ยนระบบฐานข้อมูลมาเป็นแบบ PaaS แทน (ในกรณีของ Amazon จะมีบริการ Amazon RDS for SQL Server ที่เป็นบริการ PaaS) ซึ่งจะลดภาระการดูแลเครื่องเซิร์ฟเวอร์และค่าใช้จ่ายด้านลิขสิทธิ์ลงไป
- Refactor / Re-Architect หรือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบทั้งหมด เป็นการเปลี่ยนรูปแบบระบบทั้งหมดจากเดิมที่ทำงานแบบ Monolithic มาเป็น Microservice แทน ซึ่งรูปแบบนี้เสมือนกับการทำระบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้งานกันในระบบขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่นของระบบสูง หรือที่เราอาจจะได้ยินว่าเป็น “Cloud-native applications” นั่นเอง จากประสบการณ์ของผมมักจะเป็นระบบขนาดใหญ่ มักจะเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น Mobile Banking เป็นต้น
ซึ่งเราสามารถเปรียบเทียบความซับซ้อน และประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งได้ตามตารางด้านล่าง
โดยผมได้ทำตัวอย่างคร่าวๆ ของการประยุกต์ใช้งานคลาวด์ในองค์กรเอาไว้ดังตารางเพื่อเป็นไอเดียในการประยุกต์ใช้งานคลาวด์
หัวข้อ |
ระบบที่เกี่ยวข้อง |
แผนการใช้งานคลาวด์ |
ตัวอย่างการใช้งานระบบคลาวด์ |
1 |
ระบบอีเมล |
Repurchase |
ใช้งานระบบ SaaS เช่น Microsoft 365, Google Workspace เป็นต้น |
2 |
ระบบประชุมออนไลน์ |
Repurchase |
ใช้งานระบบ SaaS เช่น Microsoft Teams ในชุด Microsoft 365, Google Meets ใน Google Workspace หรือใข้งาน Zooms เป็นต้น |
3 |
ระบบสำรองข้อมูล |
Rehost หรือ Replatform |
ใช้งานระบบ Backup as a Service (BaaS) โดยต่อยอดจากระบบสำรองข้อมูลแบบเดิม หากรองรับในการสำรองข้อมูลขึ้นระบบคลาวด์ หรือพิจารณาการย้ายเครื่องเซิร์ฟเวอร์ไปใช้งานระบบคลาวด์แทนทั้งหมด |
4 |
ระบบส่งภาษี (e-Tax) |
Repurchase หรือ Replatform |
ใช้งานระบบ e-Tax ของผู้ให้บริการ เนื่องจากขั้นตอนการส่งภาษีนั้นมีข้อกำหนดในเชิงเทคนิคและความปลอดภัยในการส่งข้อมูลไปให้กรมสรรพากร โดยเป็นการต่อยอดจากระบบบัญชีเดิมที่มีการใช้งานอยู่แล้ว (Replatform) หรือการเปลี่ยนระบบบัญชีใหม่ที่รองรับการส่งข้อมูลไปให้กรมสรรพากร (Repurchase) เป็นต้น |
5 |
ระบบลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management หรือ CRM) |
Rehost หรือ Repurchase |
หากระบบลูกค้าสัมพันธ์เดิมที่ใช้งานภายในองค์กร อาจจะย้ายระบบดังกล่าวไปยังบนคลาวด์ (Rehost) หรือการเปลี่ยนระบบการใช้งานเป็นบริการแบบ SaaS เช่น Saleforce หรือ Microsoft Dynamic 365 เป็นต้น |
จากตัวอย่างที่แสดงเอาไว้ด้านบนเป็นตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานคลาวด์ในองค์กร ซึ่งผมแนะนำให้ลองสำรวจระบบที่มีอยู่ภายในทั้งหมดและวางเป็นแผนเอาไว้ หากระบบไหนยังไม่พร้อมที่จะใช้งานระบบคลาวด์ก็เลือกเป็น “Retain” เอาไว้ เพื่อเป็นการบอกว่าเราได้พิจารณาระบบทั้งหมดเอาไว้แล้ว และเลือกว่ายังไม่ได้ใช้งานคลาวด์ในเวลานี้ ซึ่งแผนดังกล่าวอาจจะพิจารณาทุกปี เพื่อสำรวจความต้องการที่แท้จริงขององค์กรว่าเหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ระบบประชุมออนไลน์ก่อนการระบาดของโควิด-19 (COVID-19) เป็นระบบที่ไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ในช่วงระหว่างและหลังการระบาดของโควิด-19 กลายเป็นระบบพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง: