ทำความรู้จักกับรูปแบบการใช้งานคลาวด์แต่ละประเภททั้ง Private Cloud, Public Cloud และ Hybrid Cloud ว่าเป็นอย่างไร?
สำหรับรูปแบบการใช้งานคลาวด์ในองค์กร ขออ้างอิงจากเอกสารหลักจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ จากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ NIST ที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ จะอธิบายรูปแบบการใช้งาน
จากรูปด้านบนสามารถอธิบายรูปแบบการใช้งานได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
- การใช้งาน Private Cloud อาจจะเรียกว่าคลาวด์ภายในองค์กร หรือคลาวด์ส่วนตัว ในที่นี้ขอเรียกว่า Private Cloud จะเป็นการติดตั้งระบบคลาวด์ทั้งหมดภายในศูนย์ข้อมูลของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ระบบ Virtualization และระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในบางที่อาจจะเรียกว่าการทำแบบนี้ว่าการทำ “Server Consolidation” หรือการทำ “Virtualization” ก็ได้ ซึ่งรูปแบบดังกล่าวจะเป็นการลดจำนวนเครื่องเซิร์ฟเวอร์เดิมที่ล้าสมัยในองค์กร แทนที่ด้วยเครื่องเซิร์ฟเวอร์ชุดใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ลดค่าใช้จ่ายในด้านการดูแลเครื่องเซิร์ฟเวอร์เก่าลงไปได้บ้าง แต่ไม่ได้ลดงานของเจ้าหน้าที่ไอทีแต่อย่างใด หรือเรียกง่านๆ ว่าเป็นการ “ทำเอง ใช้เอง” หรือเปรียบเสมือนกับระบบ On-Premises นั่นเอง
- การใช้งาน Community Cloud หรือคลาวด์ของชุมชน ซึ่งในปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่นัก จะเป็นรูปแบบที่มีหน่วยงานหรือชุมชนที่ติดตั้งระบบคลาวด์เอาไว้ และให้สมาชิกในกลุ่มของตนเข้ามาใช้งานอีกทีหนึ่ง เนื่องจากในการใช้งานจริงไม่ค่อยมีการใช้งานกันมากนัก จึงขอไม่ลงรายละเอียด
- การใช้งาน Public Cloud หรือคลาวด์สาธารณะ ในที่นี้ขอเรียกเป็น Public Cloud เป็นรูปแบบที่องค์กรใช้งานคลาวด์จากผู้ให้บริการภายนอกโดยที่ไม่ต้องติดตั้งระบบภายในเอง องค์กรจะชำระค่าบริการเป็นค่าเช่าทั้งหมด โดยอาจจะชำระค่าบริการเป็นรูปแบบรายเดือน/ รายปี หรือเป็นการชำระค่าบริการก่อนใช้งาน (Prepaid) หรือหลังจากใช้งานเสร็จ (Postpaid) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการคลาวด์เป็นผู้กำหนด ซึ่งจะมีการกำหนดค่าใช้บริการเอาไว้ชัดเจนว่าต้องชำระเท่าไหร่ สามารถประเมินค่าใช้จ่ายได้เอง
- การใช้งาน Hybrid Cloud เป็นการผสมรูปแบบการใช้งานคลาวด์มากกว่าหนึ่งรูปแบบเข้าด้วยกัน ซึ่งโดยมากจะเป็นการใช้งาน Private Cloud เชื่อมต่อกับ Public Cloud เข้าด้วยกัน ในบางครั้งเราสามารถย้ายระบบข้ามระหว่างคลาวด์ได้ด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของระบบคลาวด์และผู้ให้บริการคลาวด์ว่ารองรับการทำงานได้ในแบบไหน
เราสามารถเปรียบเทียบรูปแบบของคลาวด์แต่ละประเภทได้เป็นดังตาราง
รูปแบบของคลาวด์ |
การลงทุน |
การดูแลและ บำรุงรักษาระบบ |
ข้อดี |
ข้อเสีย |
Private Cloud |
เป็นการลงทุนภายในเองทั้งหมด (ใช้ Capital Expense หรือ CapEx) ซึ่งต้องลงทุนมูลค่าสูง อย่างน้อย 1 ล้านบาทขึ้นไปเพื่อให้ระบบมีความเสถียร |
เจ้าหน้าที่ไอทีดูแลเองทั้งหมด เพราะเป็นการใช้งานเครื่องเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรเอง |
• ข้อมูลอยู่ภายในองค์กรทั้งหมด (ไม่ขัดต่อกฎหมาย และข้อบังคับ)
• ลดค่าใช้จ่ายขององค์กรได้บางส่วน (จากเครื่องเซิร์ฟเวอร์ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กินไฟน้อยลง)
|
• ลงทุนสูง (หลัก 1 ล้านบาทขึ้นไป) หากมีการขยายระบบต้องลงทุนเพิ่มเติม
• ไม่ได้ลดงานของเจ้าหน้าที่ไอที
|
Public Cloud |
เป็นการชำระค่าเช่าใช้บริการ ไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนในการลงทุน หากในอนาคตมีการขยายระบบก็ชำระค่าบริการเพิ่มขึ้น (ใช้ Operating Expense หรีอ OpEx) |
เจ้าหน้าที่ไอทีดูแลเป็นบางส่วน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานคลาวด์ว่าเป็นแบบ IaaS PaaS หรือ SaaS |
• ไม่ต้องลงทุนเป็นเงินก้อน (CapEx) ชำระค่าบริการเป็นค่าเช่าทั้งหมด หากในอนาคตอาจจะพิจารณาการใช้งาน Private Cloud ได้ ถ้ามีความคุ้มค่ามากกว่า
• ลดงานของเจ้าหน้าที่ไอทีได้ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานคลาวด์ว่าเป็นแบบใด ระหว่าง IaaS PaaS หรือ SaaS
• สามารถเริ่มใช้งานบริการได้ทันที ลดความเสียงในกรณีที่เป็นโครงการใหม่ที่มีความไม่แน่นอนในทางธุรกิจ
|
• ข้อมูลอยู่ที่ผู้ให้บริการคลาวด์ จำเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งต้องเรียนรู้การบริหารจัดการคลาวด์ของแต่ละผู้ให้บริการ
• ต้องมีการตรวจสอบการใช้งานคลาวด์อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นการชำระค่าบริการตามที่ใช้จริง โดยเฉพาะแบบ Postpaid
• อาจมีข้อจำกัดด้านกฎหมาย และกฎระเบียบเรื่องของการใช้งานคลาวด์ ต้องปรึกษาทั้งผู้ให้บริการคลาวด์และฝ่ายกฎหมายว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่
|
Hybrid Cloud |
เป็นการผสมทั้ง Private Cloud และ Public Cloud |
โดยรวมแล้วเจ้าหน้าที่ดูแลงานน้อยลง (จากส่วนของ Public Cloud) |
• เป็นการประยุกต์ทั้ง Private Cloud และ Public Cloud เข้าด้วยกัน มีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น |
• การบริการจัดการจะซับซ้อนมากขึ้น เพราะต้องดูแลทั้ง Private Cloud และการเชื่อมต่อไปยัง Public Cloud |
แล้วเราจะเลือกใช้งานคลาวด์แบบไหนดี?
เนื่องจากมีการใช้งานคลาวด์ในหลากหลายรูปแบบ และคำนิยามดังกล่าวก็นิยามตั้งแต่ปี 2011 (หรือว่า 14 ปีมาแล้ว) สำหรับปัจจุบันนี้จะเป็นใช้งานคลาวด์หลากหลายเข้าด้วยกัน ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า Multi-Cloud นั่นเอง ซึ่งหมายความว่าเราจะไม่ได้เลือกใช้งานคลาวด์แบบใดแบบหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเลือกใช้งานคลาวด์ผสมผสาญกัน หรือเรียกง่ายๆ ว่าคลาวด์ไหนที่เก่ง เราก็เลือกใช้งานคลาวด์อันนั้น แต่จะเป็นเชื่อมต่อคลาวด์เหล่านั้นเข้าด้วยกันโดยที่ยังสามารถจัดการได้นั่นเอง ยกตัวอย่างการใช้งานในองค์กรที่แนะนำในปัจจุบันดังรูปด้านล่าง
จากรูปด้านบน จะเป็นการประยุกต์ใช้งานคลาวด์ให้เหมาะสมกับองค์กร โดยแยกเป็นส่วนๆ ดังนี้
- ระบบอีเมล และระบบประชุมใช้งานผ่านทาง Microsoft 365 เป็นหลัก หากมีระบบ Microsoft Active Directory ภายในอยู่แล้ว ก็ทำการเชื่อมต่อผู้ใช้งานเข้าด้วยกันเพื่อให้ผู้ใช้งานจำรหัสผ่านทั้งหมดเป็นชุดเดียว
- ระบบสำรองข้อมูลภายในองค์กร เมื่อทำการสำรองข้อมูลแล้ว ทำการสำรองข้อมูลออกมาภายนอก (Offsite Backup) ผ่านทางบริการ Backup as a Service เพื่อป้องกันข้อมูลเสียหายภายในองค์กร และอาจจะต่อยอดการทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Planning หรือ BCP) ผ่านทางการใช้งาน Disaster Recovery as a Service (DRaaS) โดยมองว่ามีการสำรองข้อมูลออกมาภายนอกองค์กรอยู่แล้ว เมื่อมีปัญหาก็ทำการกู้คืนบนระบบคลาวด์ได้ทันที แต่ต้องมีการออกแบบและซักซ้อมกระบวนการดังกล่าวก่อนการใช้งานจริง
- การใช้งาน Public Cloud ภายนอก สำหรับระบบที่ต้องติดต่อกับลูกค้าและคู่ค้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นระบบเว็บไซต์ ระบบสำหรับติดต่อคู่ค้า ระบบ E-Commerce เป็นต้น โดยอาจจะเลือกใช้งานเป็น Local Cloud Provider, Regional Cloud Provider หรือ Global Cloud Provider ก็ได้ ซึ่งจะมีอธิบายในบทความถัดไป
- สำหรับบางบริการที่เลือกใช้งานโฮสติ้งได้ ก็อาจจะยังใช้งานได้อยู่ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจ และค่าใช้จ่ายเป็นหลัก เพราะโดยทั่วไปแล้วโฮสดิ้งจะราคาถูกกว่าการใข้บริการคลาวด์
- การเชื่อมต่ออินเทอร์เนต มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี SD-WAN (Software Defined WAN) เพื่อความคล่องตัวในการใช้งาน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมีเบื้องหลังที่ใช้งานคลาวด์ในการช่วยบริหารจัดการระบบเครือข่ายอีกด้วย
หากอธิบายง่ายๆ แล้ว การพิจารณาเลือกใช้งานคลาวด์ให้คำนึงถึงความสำคัญ และค่าใช้จ่ายโดยรวม (Total Cost of Ownership หรือ TCO) เป็นหลัก เพราะการตัดสินใจเลือกใช้งานเทคโนโลยีในแต่ละประเภทต้องคำนึงความยุ่งยากในการใช้งาน ค่าใช้จ่าย และความจำเป็นทางธุรกิจเป็นหลัก ยกตัวอย่างระบบอีเมลเป็นระบบที่นิยมย้ายมาใช้งาน Microsoft 365 เป็นอย่างมาก เพราะหากต้องติดตั้งใช้งานระบบอีเมลภายในเองแล้ว นอกจากค่าไลเซนต์ ค่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์ และยังมีความยุ่งยากด้านระบบความปลอดภัยของอีเมล (Email Security Gateway) อีกทั้งยังต้องใช้ความเข้าใจในระบบอีเมลที่มึความซับซ้อนและละเอียดอ่อนอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง: