คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) คืออะไร? แตกต่างกันบริการโฮสติ้ง หรือบริการอื่นๆ อย่างไร?

ลักษณะของคลาวด์คอมพิวติ้งเป็นอย่างไร?
สำหรับลักษณะของคลาวด์คอมพิวติ้ง หากอธิบายแบบอ้างอิงวิชาการก็จะอ้างถึงนิยามจากสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ จากประเทศสหรัฐอเมริกา (National Institute of Standards and Technology หรือ NIST) ซึ่งมีการนิยามเอาไว้เอาไว้ดังรูปด้านล่าง โดยสาเหตุที่ต้องอ้างอิงจาก NIST เพราะถือว่าเป็นมาตรฐานหลักที่มีการประกาศตั้งแต่ปี 2011 (หรือมากกว่า 14 ปีแล้ว) เป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกยอมรับนั่นเอง

 Cloud_Infro_001.png

โดยจากคำนิยามด้านบน สามารถเขียนอธิบายเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

  1. ผู้ใช้บริการต้องสามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง เช่น สามารถเปิดปิดเองได้ หากไม่ได้ใช้งานก็สามารถปิดการใช้งานได้เอง
  2. ระบบต้องมีการเชื่อมต่อผ่านทางระบบเครือข่าย ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นการเชื่อมต่อผ่านทางอินเทอร์เนต
  3. ระบบดังกล่าวต้องมีทรัพยากรให้ใช้อย่างไม่จำกัด โดยทางผู้ใช้บริการไม่ต้องสนใจระบบหลังบ้าน มีหน้าที่ใช้งานเพียงอย่างเดียว
  4. ระบบต้องการสามารถขยายเมื่อไหร่ก็ได้ รวมไปถึงรองรับการขยายแบบอัตโนมัติหากมีการใช้งานที่เพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ใช้งานสามารถกำหนดรูปแบบเอาไว้ได้
  5. ระบบจะสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้ มีมิเตอร์การใช้งานชัดเจน ค่าบริการคิดตามจริง และจะต้องมีระบบตรวจสอบการใช้งานว่าใช้ไปแล้วเท่าไหร่ มีค่าบริการที่เกิดขึ้นเป็นเท่าไหร่

ซึ่งจากคำอธิบายดังกล่าว หากเปรียบเทียบก็อาจจะเหมือนการใช้งานระบบน้ำประปา หรือไฟฟ้า โดยที่ผู้ใช้งานเปิดปิดการใช้งานได้เอง และเมื่อสิ้นเดือนก็มีใบแจ้งหนี้เรียกเก็บค่าใช้บริการที่เราได้ใช้ไป (เป็นแบบ Postpaid หรือใช้ก่อนแล้วจ่ายทีหลัง) มีรูปแบบการคำนวณค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน โดยทางบริษัท Gartner ได้เปรียบเทียบรูปแบบการใช้บริการต่างๆ เอาไว้ดังนี้
 Cloud_Infro_002.png

จากภาพด้านบน จะแสดงเลเยอร์ในการดูแลทั้งหมดไล่ตั้งแต่ส่วนของศูนย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์ (ในที่นี้รวมไปถึงระบบไฟฟ้า ระบบไฟสำรอง ระบบปรับอากาศ ระบบกล้องวงจรปิด ระบบตรวจสอบน้ำรั่วซึม และระบบอื่นๆ ที่อยู่ในศูนย์ข้อมูล หรือที่เรามักเรียกรวมกันว่าห้อง Data Center) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (ในที่นี้คือรวมทั้งเราท์เตอร์ สวิตช์และสายเชื่อมต่อทั้งหมด) ระบบเซิร์ฟเวอร์ ระบบจำลองเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (หรือเรียกว่า Virtualization) ระบบปฎิบัติการ (Operating System หรือ OS) ระบบซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ใช้งาน จนไปถึงข้อมูลที่ใช้งาน โดยทางผู้ใช้บริการสามารถเลือกที่จะใช้บริการจากผู้ให้บริการภายนอกได้ไล่ตั้งแต่บริการฝากเครื่องเซิร์ฟเวอร์เอาไว้ในศูนย์ข้อมูล (บริการ Colocation) การใช้บริการโฮสติ้ง (ซึ่งในที่นี้เป็นการให้บริการเครื่องเซิร์ฟเวอร์เช่าทั้งเครื่อง) การให้บริการคลาวด์แบบ Infrastructure as a Service (IaaS) ซึ่งเป็นการให้บริการคลาวด์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในระบบเครื่องเซิร์ฟเวอร์ การให้บริการคลาวด์ที่เป็นระบบ Platform as a Service (PaaS) จนไปถึงการให้บริการคลาวด์แบบซอฟต์แวร์ หรือ Software as a Service (SaaS) นั่นเอง ซึ่งรูปแบบการให้บริการคลาวด์แต่ละประเภทนั้นเป็นการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างผู้ใช้บริการคลาวด์และผู้ให้บริการคลาวด์ ซึ่งเรียกกันว่า “Share responsibility model” ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการใช้งานคลาวด์

ข้อแตกต่างระหว่างคลาวด์กับโฮสติ้งเป็นอย่างไร? VPS คืออะไร ใช่คลาวด์หรือไม่?
สำหรับข้อแตกต่างระหว่างคลาวด์กับโฮสติ้งนั้น เนื่องจากรูปด้านบนของบริษัท Gartner อาจจะไม่ได้อธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจน ผมจึงขออธิบายแบบง่ายๆ โดยเปรียบเทียบกับการใช้งานรถยนต์โดยสารดังรูปด้านล่าง

Cloud_Infro_003.png
โดยสามารถอธิบายแต่ละรูปแบบการให้บริการได้ดังนี้
  1. บริการเว็บโฮสติ้ง หรืออีเมลโฮสติ้ง (Web Hosting หรือ Email Hosting) เป็นรูปแบบการให้บริการที่ผู้ให้บริการจะให้บริการเป็นรายแพกเกจ อาจจะตามขนาดพื้นที่ของการใช้งานโดยที่ผู้ใช้บริการจะต้องใช้ตามระบบที่ทางผู้ให้บริการมีเอาไว้ให้แล้ว เปรียบเสมือนกับการใช้งานรถสาธารณะ เช่น รถประจำทาง รถเมล์ รวมไปถึงรถไฟฟ้า เพราะผู้ให้บริการจะกำหนดรูปแบบการใช้งานมาแล้ว ไม่สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายได้ (Customized) ค่าใช้จ่ายจะถูกที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น
  2. บริการคลาวด์ จะเป็นรูปแบบการให้บริการที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้บางส่วน ขึ้นอยู่กับแพกเกจการใช้งาน โดยทุกการปรับแต่งจะคิดค่าบริการเพิ่มเติม เปรียบเสมือนกับการนั่งรถแท็กซี่ หรือบริการรถเช่าส่วนบุคคล ที่ผู้ใช้บริการสามารถเลือกขนาดของรถ ชนิดของรถที่ให้บริการ ระยะเวลาที่ใช้บริการ รวมไปถึงระยะทางได้ ซึ่งจะคิดค่าบริการตามระยะทางตามมิเตอร์ที่กำหนด โดยที่ผู้ใช้บริการไม่ต้องดูแลรถยนต์ เช็คระยะบำรุงรักษา หรือต่อประกันภัยของรถยนต์เลย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าแบบโฮสติ้งแต่ถูกกว่าการเป็นเจ้าระบบทั้งหมดเอง
  3. การติดตั้งและจัดการระบบทั้งหมดเอง หรือ On-Premises เปรียบเสมือนกับการเป็นเจ้าของรถยนต์เอง ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องดูแลทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ค่าบำรุงรักษา ค่าประกันภัยต่างๆ แลกกับความสะดวกสบายที่เราสามารถปรับแต่งได้ทั้งหมด ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดเช่นกัน ซึ่งจะใช้งบประมาณสูงมากในช่วงเริ่มต้น หรือเปรียบเสมือนกับการซื้อรถยนต์ก่อนใช้งานนั่นเอง

โดยในการใช้งานจริงนั้น เราอาจจะเคยได้ยินผู้ให้บริการบางรายให้บริการ VPS หรือ Virtual Private Server มาบ้าง ซึ่งรูปแบบการให้บริการ VPS นั้น อาจจะคล้ายคลึงกับคลาวด์แบบ IaaS (ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อถัดไป) ซึ่งบ่อยครั้งจะสับสนว่าแตกต่างกันอย่างไร จุดสังเกตหลักคือการรับประกันความเสถียรของระบบที่ให้บริการ เพราะบ่อยครั้งผมเองเคยเจอผู้ให้บริการที่ใช้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ราคาไม่สูงมาก โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เพียงเครื่องเดียวและติดตั้งโปรแกรมจำลองเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Virtualization) แบบไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น Proxmox หรือ Vmware (เวอร์ชัน ESXi ก่อนที่ทางบริษัท Broadcom จะซื้อกิจการ) ให้บริการลูกค้า ซึ่งทำให้ค่าบริการถูกกว่าระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ เพราะไม่มีระบบสำรอง (Redundant) นั่นเอง อาจจะเปรียบเทียบได้ว่าการเลือกใช้บริการคลาวด์จะต้องพิจารณาความเหมาะสมกับประเภทของงานเป็นหลัก ซึ่งค่าบริการมักจะสะท้อนกับอุปกรณ์และการให้บริการที่ผู้ให้บริการให้นั่นเอง

คลาวด์แบบ IaaS PaaS SaaS คืออะไร? แล้วเราเหมาะกับแบบไหน
สำหรับรูปแบบการให้บริการของคลาวด์นั้น ตามนิยามของสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้คำอธิบายเอาไว้ดังรูป

Cloud_Infro_004.png 

จากรูปสามารถแบ่งรูปแบบการให้บริการได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. การให้บริการแบบ Infrastructure as a Service หรือ IaaS เป็นรูปแบบการให้บริการคลาวด์แบบพื้นฐานขั้นเริ่มต้น เพราะเป็นการให้เช่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์เสมือน (Virtual Machine) หากอ้างอิงจากรูปของบริษัท Gartner ก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการจะดูแลในส่วนของระบบ Virtualization ลงมาจนถึงส่วนของศูนย์ข้อมูล ส่วนในระดับระบบปฎิบัติการขึ้นไป จะเป็นหน้าที่ของผู้ใช้บริการที่ดูแลส่วนดังกล่าวไปจนถึงข้อมูล ซึ่งรูปแบบการใช้งาน IaaS นั้น จะเหมาะกับเจ้าหน้าที่ไอทีภายในองค์กรที่มีความสามารถในการดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์อยู่แล้ว เพียงแค่ย้ายระบบการจัดการจากภายในทั้งหมด (On-Premises) มาเป็นระบบคลาวด์แทน ในบ่อยครั้งผู้ให้บริการก็มักจะมีเครื่องมือในการย้ายมาให้ด้วย

    สำหรับการใช้งาน IaaS นั้น ผมแนะนำให้เป็นระบบที่ต้องการออนไลน์เป็นหลัก หรืออาจจะเปรียบเทียบได้ง่ายๆ เหมือนกับการเช่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์และการเช่าพื้นที่ศูนย์ข้อมูล (หรือ Colocation) นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ อีเมลเซิร์ฟเวอร์ หรือเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการ Application เฉพาะทาง เป็นต้น โดยในปัจจุบันนี้อาจจะพิจารณาคลาวด์แบบ IaaS มาใช้งานทดแทนศูนย์ข้อมูลเดิมที่ใช้งานอยู่ (DC Site) หรือใช้งานเป็นศูนย์ข้อมูลสำรอง (DR Site) ก็สามารถทำได้

  2. การให้บริการแบบ Platform as a Service หรือ PaaS เป็นรูปแบบการให้บริการคลาวด์ที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยมากมักจะเหมาะกับทีมพัฒนาที่ไม่มีความชำนาญในการดูแลเครื่องเซิร์ฟเวอร์แต่ต้องการทำระบบที่เสถียร โดยผู้ใช้งานจะมักพัฒนาโปรแกรมบนระบบดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในระบบขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน ต้องการความยืดหยุ่นสูงๆ หรือที่มักจะเรียกกันว่า Cloud Native-Application หรืออาจจะได้ยินคำว่า DevOps นั่นเอง ซึ่งรูปแบบการใช้งานนั้นมักจะใช้งานในรูปแบบของ Container หรือในบางที่อาจจะเรียกว่าเป็นการทำ “Application Virtualization” ก็ได้ โดยสามารถเปรียบเทียบได้ดังรูปด้านล่าง (ระบบ IaaS คือการให้บริการที่เป็น Virtual Machine หรือ VM ส่วนระบบ PaaS มักจะเป็นแบบ Containers)

    Cloud_Infro_005.png
    จากรูปด้านบนจะเห็นได้ว่า การจัดการแบบ Container นั้นจะทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกทั้งยังทำให้ใช้งานทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าเพราะไม่ต้องมีส่วนของระบบปฎิบัติการ (Guest OS) ที่ซ้ำซ้อนกันมาทำงานนั่นเอง หรืออีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการของ PaaS ก็คือการให้บริการ IaaS พร้อมทั้งการดูแลระบบ (หรือที่เรียกกันว่า Managed Service) ก็ถือว่าเป็นรูปแบบการให้บริการแบบ PaaS เช่นเดียวกัน

    สำหรับการใช้งานคลาวด์แบบ PaaS นั้น หากเป็นโปรแกรมขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนสูงโดยมากจะพัฒนากันเองภายในบริษัท ซึ่งผมเองพบว่ามักจะเป็นระบบของฝั่งการเงินการธนาคารเป็นหลัก เพราะเป็นระบบที่ต้องการเสถียรภาพและมีการขยายจำนวนผู้ใช้งานตลอดเวลา หากเลือกใช้งานเป็นแบบคลาวด์ IaaS อาจจะไม่ทันต่อการใช้งานอีกทั้งจะมีปัญหาในการจัดการระบบอีกด้วย โดยจุดเด่นของระบบ Container คือสามารถกำหนดรูปแบบการลดและการขยายได้อย่างอิสระโดยการกำหนดสถานะของระบบเอาไว้ เมื่อมีการใช้งานจำนวนมากระบบก็จะขยายเพื่อให้รองรับงานได้ และเมื่อมีการใช้งานน้อยระบบก็ลดขนานลงเพื่อให้ประหยัดการใช้งานนั่นเอง

  3. การให้บริการคลาวด์แบบ Software as a Service หรือ SaaS เป็นรูปแบบการให้บริการคลาวด์ที่ผู้ให้บริการดูแลระบบทั้งหมด ผู้ใช้งานเพียงแค่ล็อกอินเข้ามาในระบบและชำระค่าบริการตามจำนวนผู้ใช้งานเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Microsoft 365 ของบริษัท Microsoft ที่เป็นการใช้งานระบบออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โปรแกรมการประชุม Microsoft Teams พื้นที่เก็บไฟล์สำหรับบุคคล (One Drive) พื้นที่เก็บไฟล์สำหรับองค์กร (Sharepoint) เป็นต้น โดยรูปแบบการใช้งานคลาวด์แบบ SaaS นั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบันเพราะไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง หากในอนาคตมีการปรับเปลี่ยนจำนวนผู้ใช้งานก็สามารถลดหรือเพิ่มค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่ใช้งานจริงได้นั่นเอง

ผมแนะนำให้องค์กรลองพิจารณาใช้คลาวด์แบบ SaaS ก่อน เพราะสามารถเริ่มได้ง่ายและระบบส่วนใหญ่เป็นที่ยอมรับกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft 365, Google Workspace, Zooms หรือแม้กระทั่ง Saleforces.com ที่เป็นระบบ CRM เป็นต้น การเลือกใช้งานคลาวด์แบบ SaaS นั้น โดยส่วนตัวผมพบว่าค่าใช้จ่ายต่อปีเทียบเท่ากับการทำระบบเอง โดยคำนวณที่ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 3 – 5 ปี แต่เมื่อเทียบกับการดูแลระบบแล้วการใช้งานคลาวด์จะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากกว่า อีกทั้งระบบยังมีการอัปเดทให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

สำหรับบทความนี้เป็นบทความเริ่มต้นของคลาวด์ ซึ่งในบทความต่อๆ มาจะอธิบายถึงการประยุกต์ใช้งานคลาวด์ ความเสี่ยง รวมไปถึงการเปรียบเทียบการใช้งานคลาวด์ให้มีประโยชน์กับองค์กรสูงสุด ซึ่งการใช้งานคลาวด์ในปัจจุบันถือว่าเป็นมาตรฐานการทำงานของระบบไอทีในปัจจุบันไปเรียบร้อยแล้วนั่นเอง

เอกสารอ้างอิง: